มาตรฐานของการชงกาแฟ ไม่เพียงแค่การใช้เครื่องมือชงอัตโนมัติสกัดกาแฟออกมาให้กลายเป็นเครื่องดื่มรสชาติขม (หรือจะอมเปรี้ยวบ้าง) เพียงเท่านั้น แต่การชงคือ “ศิลปะ” ที่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ถือว่าเป็นหัวใจสุดท้ายของการสร้างสรรค์ให้ได้ออกมาเป็นกาแฟรสเลิศ จากทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่การเลือกสายพันธุ์กาแฟที่ดีสู่หยดกาแฟในแก้วที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นคอกาแฟตังยงทั้งหลาย ควรทำความเข้าใจกับหลักในการชง รายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อยแค่ 4 ปัจจัยหลักต่อไปนี้ก็สามารถเปลี่ยนรสชาติกาแฟให้ดีเยี่ยมได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียวค่ะ
Credit : foodal.com
1.อุณหภูมิที่เหมาะสมในการชง
อุณหภูมิของน้ำร้อนเป็นปัจจัยที่จะดึงเอารสชาติจากกากกาแฟออกมาให้ได้ตามสมควร อุณหภูมิที่ดีจึงไม่ใช่น้ำอุ่นหรือน้ำที่ร้อนจนเกินไป แต่ควรอยู่ในระดับที่สัมพันธ์กับเวลา บางครั้งหากเราใช้น้ำที่มีความอุ่นปานกลา อาจจะต้องใช้ระยะเวลาเพิ่มขึ้นมาหน่อยเพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟที่มีความเข้มข้นแบบพอดิบพอดี หรือหากเป็นน้ำนุณหภูมิเกือบถึง 100 องศาเซลเซียส หรือมากกว่านั้น ระยะเวลาในการชงก็อาจจะลดน้อยลงมา
โดยสรุปแล้วการสกัดกาแฟ อุณหภูมิที่แตกต่างกันของน้ำมีผลต่อรสชาติของกาแฟโดยตรง ตามหลักจึงมีการแบ่งการปรับอุณหภูมิในขณะสกัดแตกต่างกันออกไป 3 ประเภทคือ แบบรักษาอุณหภูมิของน้ำให้คงที่ตั้งแต่เริ่มจนเสร็จสิ้น (flat profile) แบบเริ่มสกัดด้วยอุณหภูมิของน้ำที่สูงแล้วลดอุณหภูมิลงเรื่อยๆ (falling profile) และแบบสุดท้ายคือการสกัดด้วยน้ำที่มีแณหภูมิต่ำแล้วค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น (rising profile) เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟที่แตกต่างกัน ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้จะต้องใช้ความชำนาญบวกระยะเวลาในการชง ชนิดของกาแฟคั่วบด ไปจนถึงการสังเกตของผู้ชงด้วย
Credit : forumi.shqiperia.com
2.อัตราส่วนของกาแฟและน้ำ
อัตราส่วนของกาแฟและน้ำจะเป็นตัววัดความเข้มข้นของเครื่องดื่มแก้วโปรดของเราได้ โดยทั่วไปจะใช้หลักการชงตามมาตรฐานของสมาคมกาแฟพิเศษแห่งสหรัฐอเมริกา ด้วยเปอร์เซ็นที่เรียกกันว่า “Brew ratio” กล่าวคือยิ่งค่า brew ratio มากแค่ไหน นั่นหมายถึงอัตราส่วนของกาแฟและน้ำจะมีความเข้มข้นมากขึ้นตามลำดับ สัดส่วนของกาแฟในน้ำจะมีมากกว่าปริมาณของน้ำเปล่าที่เติมลงไป เปรียบเทียบง่ายๆ ในการหาอัตราส่วนของกาแฟ เมื่อเราใช้กากกาแฟในการชงที่ 55 กรัม ต่อสัดส่วนน้ำกาแฟที่ชงได้ 1000 กรัม นำ 55 มาหารกับ 1000 และคูณ 100 ก็จะได้ brew ratio เท่ากับ 5.5 เปอร์เซ็น กาแฟ 7 กรัมชงออกมาได้น้ำกาแฟ 14 กรัม จะได้ค่า brew ratio ที่ 50 เปอร์เซ็น แบบนี้เราก็จะเห็นแล้วว่าค่าไหนที่มีความเข้มข้นมากกว่ากัน
Credit : siamtrendshop.com
3.ระดับความละเอียดของกาแฟคั่วบด
ระดับความหยาบ-ละเอียดของกาแฟคั่ว มีผลต่อปัจจัยของการชงกาแฟอย่างมาก เมื่อน้ำร้อนที่ผ่านแรงดันถูกนำมาสกัดจากกากกาแฟในฟิลเตอร์ ยิ่งกาแฟที่ละเอียดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รสชาติที่มีความขมเข้มมากขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกัน กาแฟที่หยาบก็สามารถมีรสชาติที่ใกล้เคียงได้ เพียงแค่ต้องใช้เวลาในการสกัดนานกว่ากัน ระดับความหยาบละเอียดของกาแฟ ขึ้นอยู่กับความชอบของเหล่านักดื่ม ใครที่ชอบความเข้มไม่มากนัก ก็อาจจะเลือกใช้เป็นผงกาแฟคั่วบดที่มีความละเอียดมากแต่ใช้ระยะเวลาสกัดสั้นๆ หรือจะเลือกใช้กาแฟแบบหยาบที่น้ำไหลผ่านได้ง่าย ส่วนใครชอบแบบเข้มเต็มรสอย่างเอสเปรสโซ่ อาจจะต้องเลือกใช้เป็นกาแฟบดละเอียด และสกัดด้วยระยะเวลาที่นานขึ้นเพื่อดึงเอารสชาติและกลิ่นออกมาให้ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้อย่าลืมว่าเครื่องชงกาแฟก็มีผลต่อรสชาติไม่แพ้กัน เพราะฉะนั้นให้เลือกกาแฟคั่วบดที่เหมาะสมกับการทำงานของตัวเครื่องนั้นๆ ด้วย
Credit : wallpapermania.eu
4.ระยะเวลาในการคั้นกาแฟ
การคั้น (extraction rate) หรือจะเรียกว่าเป็นการสกัดก็ได้ คือช่วงเวลาที่น้ำร้อนและกาแฟจะรวมตัวกัน เป็นช่วงที่กากกาแฟจะถูกน้ำร้อนดึงเอากลิ่นและรสชาติอออกมา ยิ่งกากกาแฟผสมอยู่กับน้ำร้อนนาน ยิ่งทำให้สารเคมีต่างๆ ภายในถูกดึงออกมาได้มาก ทั้งนี้ระยะเวลาการคั้นขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟที่ต้องการ อย่างกาแฟดำและเอสเปรสโซ่จะใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกัน ดังนั้นรสชาติที่ได้จึงมีความเข้มข้นที่ต่างกันออกไปด้วย
Credit : faveable.com
ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น คือพื้นฐานของการชงกาแฟที่เราควรทำความเข้าใจ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ส่งผลต่อรสชาติของน้ำกาแฟโดยตรง ดังนั้นหากใครอยากเป็นมืออาชีพด้านการชงกาแฟ ก็อย่าลืมที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ลองผิดลองถูก แล้วคุณอาจจะกลายเป็นนักชงระดับมืออาชีพก็เป็นได้
สิ่งสุดท้ายจากปัจจัยทั้งหมด คือความใส่ใจในการลองชิมกาแฟทุกๆ แก้วที่ชง จดบันทึกอัตราส่วน เวลา ความหยาบละเอียด และชนิดของกาแฟที่เลือกใช้เอาไว้ด้วย เพื่อจะได้ให้รู้ว่ารสชาติแบบไหนที่ถูกใจเราที่สุดนั่นเองค่ะ