กระบวนการบดกาแฟ เป็นกระบวนการสุดท้ายของการแปรรูปจากเมล็ดกาแฟสู่ที่ผ่านการกะเทาะเปลือก นำไปตากแห้ง คั่ว และเข้าสู่การบด ที่แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ทว่าการจะได้มาซึ่งรสชาติของกาแฟที่ดีเลิศนั้น กระบวนการบดจะให้อะไรที่ซับซ้อน ต้องใช้ผู้ที่มีความรู้ในการออกแบบ หากต้องการที่จะได้รสชาติดีๆ ของกาแฟสักแก้ว การบดกาแฟจึงมีความสำคัญ อีกทั้งเครื่องชงแต่ละแบบก็จะต้องใช้ให้เหมาะกับความหยาบละเอียดของเมล็ดกาแฟให้เหมาะสมกันอีกด้วย
Credit : amorettiblog.com
ความสำคัญของการบดกาแฟ
ระดับความละเอียดของกากกาแฟที่ได้จะมีผลต่อรสชาติของกาแฟเป็นอย่างมาก กากที่ยังมีความละเอียดมากเท่าไหร่ รสชาติที่ได้ออกมาก็จะยิ่งมีความเข้มข้น ได้ความหอมที่สมบูรณ์แบบตามมาเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่จะไม่นิยมบดให้ละเอียดจนเกินไป เนื่องจากเมื่อนำมาใช้ในการชง ทำให้กากกาแฟเล็ดลอดผ่านตัวกรองไปผสมกับน้ำกาแฟจนเสียรสชาติ
ดังนั้นระดับความหยาบละเอียดของมันจึงจำเป็นต้องมีความเชื่อมโยงกับขั้นตอนการชง กากยิ่งหยาบมา ก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้เวลามากขึ้นในการสกัดเพื่อให้ได้มาซึ่งกลิ่นและรสที่เต็มที่ มีการสังเกตอัตราการไหลของน้ำ เนื่องจากผงที่หยาบจะทำให้น้ำไหลผ่านได้เร็วกว่ากาแฟที่บดแบบละเอียดกว่า
อย่างไรก็ตามผลสำเร็จในการบดจะออกมาแบบไหน จะอยู่ที่ขั้นตอนการชิม หากรสชาติเข้มจนเกินไป ก็ควรเลือกบดกากกาแฟให้หยาบขึ้นมาอีกนิด แต่หากกาแฟมีรสอ่อนผสมเปรี้ยวมากไป ก็ให้บดกาแฟละเอียดมากขึ้น แม้ความละเอียดในการบดต่างกันเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนรสชาติของกาแฟให้ถูกใจของนักดื่มได้ เพียงแค่อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย เพื่อให้ได้ความลงตัวที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดนั่นเอง
ข้อควรรู้ในการบดเมล็ดกาแฟ
สำหรับการบดเมล็ดกาแฟ จะแบ่งระดับความละเอียดออกเป็น 4 แบบตามมาตรฐานสากลด้วยกันคือ แบบหยาบ,แบบหยาบปานกลาง,แบบละเอียด และ แบบละเอียดมาก ซึ่งในระดับการบดที่ต่างกันนี้ จะขึ้นอยู่กับเครื่องบดแต่ละชนิดด้วย หากต้องการได้รสชาติแบบไหน ก็จำเป็นจะต้องเลือกเครื่องบดที่มีความสัมพันธ์กันกับการชง
ในปัจจุบันเครื่องบดมีการใช้งานที่ง่ายขึ้นกว่าในอดีตที่ใช้ครกหรือโม่ แต่กระนั้นในขั้นตอนนี้ก็ยังเป็นหัวใจสำคัญที่จะต้องใส่ใจไม่แพ้กัน แต่ข้อดีของเครื่องบดไฟฟ้าจะมีตัวปรับระดับความหยาบละเอียดของเมล็ดกาแฟตามต้องการได้
Credit : prima-coffee.com
แต่ก่อนที่จะทำการบดก็อย่าลืมทำความเข้าใจด้วยว่า กาแฟที่ยิ่งบดละเอียด จะมีการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและมีพื้นที่สัมผัสกับน้ำได้มาก ระยะเวลาในการชงจะต้องไม่มากเกินไป แต่ก็จะต้องมีตัวกรองที่สามารถกันไม่ให้กากกาแฟเข้าไปผสมกับน้ำกาแฟในแก้วได้ ต่างกับกาแฟที่บดหยาบ จะใช้เวลาในการชงนานกว่า เนื่องจากการสัมผัสกับอากาศและน้ำน้อยกว่านั่นเอง
กาแฟที่บดแล้วจะต้องมีการจัดเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท เป็นขวดแบบสุญญากาศ เพื่อไม่ให้กากกาแฟสัมผัสกับออกซิเจนจนเกิดปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งส่งผลให้รสชาติกาแฟเปลี่ยนไปเมื่อนำมาใช้ อีกทั้งไม่ควรเทกาแฟที่บดแล้วไปมาระหว่างขวดหนึ่งไปยังอีกขวดหนึ่งหากไม่จำเป็น
หากต้องการเก็บใส่ตู้เย็น ให้ใส่ในถุงพลาสติก รีดอากาศออกให้หมด จากนั้นเก็บใส่ตู้เย็นแค่ในช่องธรรมดาก็พอ ห้ามนำแช่ในช่องฟรีซเด็ดขาด กระนั้นหากอยากได้รสชาติกาแฟที่ดีที่สุด ควรกะปริมาณบดให้พอดีสำหรับนำมาใช้ 2-3 วันเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้รสชาติกาแฟไม่เปลี่ยนมากจนเกินไปนั่นเอง